COLUMN
Mar. 25 2016
เอ่ยถึงเมือง Kembuchi (เคมบูจิ) อาจเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก เมืองเงียบสงบแห่งนี้ อยู่เหนือขึ้นไปจากเมือง อาซาฮิกาวะ อีกประมาณ 1 ชั่วโมง โดยรถไฟ หรือทางรถยนต์ หรือหากเดินทาง จากซัปโปโรละก็ นั่งรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
Trippino (ทริปปิโน) มีโอกาสได้ไปเก็บข้อมูล และเรื่องราวของเมืองเคมบูจิ เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ที่อบอุ่นไปด้วยกลิ่นไอ ของความรัก ความสามัคคี และจินตนาการ คละคลุ้งไปทั่วเมือง เนื่องจากอยู่บริเวณช่วงกลาง เยื้องๆ ไปด้านบน ของเกาะฮอกไกโด ทำให้เป็นเมืองที่มีหิมะเยอะมาก ในวันที่พวกเราเดินทางไปเก็บข้อมูลจากซัปโปโร เป็นช่วงปลายกุมภาพันธ์ ซึ่งปีนี้ (2559) เป็นปีที่ซัปโปโรมีหิมะน้อยมาก แต่พอไปถึงที่เคมบุจิเท่านั้น มองไปทางไหนก็มีแต่ หิมะ หิมะ และหิมะ ขาวโพลน ไปทั่วทุกแห่ง ดังนั้นใครที่ชอบ หิมะ ขอแนะนำเลย ไม่ผิดหวัง
เที่ยวเมืองพิพิธภัณฑ์หนังสือภาพกันเถอะ
ถ้าพูดถึง หนังสือภาพ อาจเป็นอะไรที่ดูไกลตัวกับพวกเรา ลองย้อนนึกไปสมัยเด็กๆ คงจะจำได้ กับ หนังสือนิทาน เล่มเล็กๆ มีคำบรรยายสั้นๆ ในแต่ละหน้า มีภาพประกอบน่ารัก หากไปร้านหนังสือ อาจจะขลุกอยู่กับมุมนี้อยู่นานเลย ใครที่ยังจดจำความรู้สึก สนุก ตื่นเต้น ในการอ่านนิทานเหล่านั้นได้อยู่ ขอให้นึกถึงเมืองเคมบูจิ แห่งฮอกไกโด ได้เลย เพราะที่นี่มีห้องสมุดภาพ หรือ หนังสือนิทาน ที่รวมหนังสือภาพต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น และของต่างประเทศเอาไว้ รวมถึงนิทานภาพจากประเทศไทยด้วย อ่านถึงตรงนี้แล้ว สำหรับหนอนหนังสือ คงจะว้าวกันทีเดียว หรือใครมีลูก หรือมีเด็กๆ มาเที่ยวด้วย ที่นี่ก็จะกลายเป็น สวรรค์ของเด็กๆ ที่รักในการอ่านแน่นอน
ก่อนจะแวะไปชมห้องสมุดภาพของเมือง เรามาสำรวจกันดีกว่าว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจรออยู่ เรารวม 9 สิ่งที่น่าสนใจในช่วงฤดูหนาวเอาไว้ให้แล้ว
สถานี JR Kembuchi เล็กๆ
[1] ราเมงและข้าวแกงกะหรี่ ชื่อดังของเมือง ที่ร้าน Ekimae Ryokan
หลังจากที่เราได้ เดินทางมาถึงสถานีเคมบุจิ ไม่ไกลจากสถานี จะพบร้านราเมงและข้าวแกงกะหรี่อยู่ นั่งมาตั้งไกลจะรอช้าอยู่ใย ตามไปจัดกันเลย คนท้องที่บอกว่าร้านนี้เป็นร้านดังของแถวนี้เลย หากมาช่วงพักกลางวัน รับรองว่าได้ต่อแถวรอ โชคดีว่าวันนั้น ทีมงานไปถึงเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ คนเลยยังไม่เยอะเท่าไหร่ เมนูแนะนำนี่มาเป็นเซท ราเมงบวกข้าวแกงกะหรี่ ราคาอยู่ที่แค่ 900 เยนเท่านั้นเอง ปริมาณอาหารก็เป็นปริมาณคนญี่ปุ่นเค้าทานกัน เอาจริงๆ เห็นยกข้าวมาพร้อมราเมงทีแรกก็หนักใจอยู่เหมือนกัน จากรูปถ่ายเห็นว่า หน้าตาธรรมดา แต่อย่าตัดสินเพียงภาพ เนื่องด้วยความอร่อยจัด พวกเราก็ทานกันเกือบไม่เหลือเหมือนกันนะ
ชุดราเมง รวมข้าวแกงกะหรี่ มาขนาดเต็มๆ
บรรยากาศภายในร้าน
ด้านนอกร้าน
[2] พักผ่อน โรงแรมริมทะเลสาบ เติมความสดชื่นให้เต็มเปี่ยม
เราเข้าพักกันที่ โรงแรม เลคไซด์ ซากุระโอกะ (Lakeside Sakuraoka Hotel) โรงแรมที่ถือเป็นจุดผ่อนคลาย ความเมื่อยล้าในการเดินทาง อยู่ติดกับทะเลสาบใหญ่ มีออนเซ็น ห้องพัก หลายรูปแบบ คอยตอบสนองความต้องการให้กับผู้เข้าพักได้ สำหรับใครที่พักที่โรงแรมแห่งนี้ จะมีรถรับส่ง ที่สถานีรถไฟให้อีกด้วย
ห้องพักแบบญี่ปุ่นกึ่งตะวันตก ที่เข้าพักได้เป็นหมู่คณะ
[3] สนุก สุดๆ ที่ VIVA ALPACA FARM
ฟาร์มอัลปาก้า จุดท่องเที่ยวเด่นของที่นี่ สามารถแวะเล่น ถ่ายรูป ให้อาหารกับเหล่าอัลปาก้าน่ารักๆ ได้ ที่ วีว่า อัลปาก้า ฟาร์ม ในฤดูร้อน สามารถขี่จักรยานเมาเท่นไบค์ได้ ส่วนฤดูหนาว ต้องกิจกรรมนี้เลย แอร์บอร์ด (Airboard) โดยเป็นกิจกรรมที่วิธีเล่น ต้องเอาตัวนอนคว่ำ กับบอร์ด แล้วลื่นไถลลงเนินไป สำหรับใครที่ชอบกีฬาฤดูหนาวคิดว่าไม่ extreme มาก เราค่อยๆ ไปของเราก็ได้ จะว่าไปไม่ตื่นเต้นก็ไม่ถูกนะ เพราะอย่าลืมว่า เวลาไถล เค้าเอาหน้าลง!! และเนื่องจากเป็นเมืองที่คนมาเที่ยวไม่เยอะ เราจะได้เปิดซิงหิมะนุ่มๆ เรียกได้ว่า อยากเปิดไลน์ตรงไหนก็ไถลไปเลย (ถ้ามีคนมาเล่นเยอะๆ หิมะจะอัดกันแน่นจนเป็นน้ำแข็ง ก็จะลื่นมาก)
ก่อนเล่นนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะสอนเทคนิคต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเล่น เช่น การวางตัว การเลี้ยว และที่สำคัญคือ การเบรค นั่นเอง หากจำได้หมดแล้ว เราจะได้พาขี่สโนว์โมบิลขึ้นเนินเขา เพื่อลองเล่นกัน ขอบอกว่าสนุกกว่าที่คิดไว้ ไม่ยาก และไม่ง่าย ซึ่งหากเล่นเป็นแล้ว ก็จะเริ่มสนุก สามารถขึ้นไปเล่นบริเวณที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ได้
มีป้ายภาษาไทย เอาใจนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย
เหล่าสัตว์น่ารัก ในฟาร์ม
อัลปาก้า ที่นี่มีชื่อ และนิสัยน่ารักมาก
หากเล่นแอร์บอร์ด จะได้ขี่เจ้านี่ขึ้นเขา
เล่นโดยการเอาตัวนอนคว่ำแผ่นยาง เอาหน้าลงจ้า
[4] จุดเด่นของเมือง คือ ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์หนังสือนิทานภาพ
จากที่เกริ่นไป เคมบุจิ เป็นเหมือนแห่งหนังสือภาพ ที่ห้องสมุด Ehon no Yakata เราได้แวะมาชมที่ห้องสมุดนิทานภาพเหล่านี้ ถึงกับตกตะลึงในความใหญ่ อาคารสร้างเป็นรูปไข่ แนวนอน สามารถเดินวนหากันได้เป็นวงกลม ส่วนตรงกลางอาคารจะเว้นไว้สำหรับ จัดสวน นอกจากรวมเอาหนังสือภาพจากทั่วทุกสารทิศแล้ว ที่นี่ยังมีส่วนจัดนิทรรศการ, หรือมุมของเล่นไม้ต่างๆ ให้เด็กๆ ได้สนุกกันทั้งวัน
อย่างที่คาดเอาไว้ เป็นพิพิธภัณฑ์หนังสือภาพ ก็ต้องมีหนังสือภาพเต็มไปหมด โดยมีประมาณ 6 หมื่น กว่าเล่ม รวมหนังหนังสือทั่วไป มีทั้งหนังสือภาพของต่างประเทศแบบแปลแล้ว หรือในภาษานั้นๆ ก็มี แต่ที่ตกใจคือ มีหนังสือภาพภาษาไทยด้วย!
ในทุก ๆ ปี ที่เมืองนี้จะจัดการแจกรางวัล หนังสือนิทานภาพดีเด่น โดยเลือกจากผู้เขียนทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่นี่จะมีมุมหนังสือภาพ ที่เคยได้รางวัลในแต่ละปี ก็จะมาจัดโชว์อยู่ทางโซนด้านหน้า ถ้าใครสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่นออก เอาแบบไม่ต้องเก่งมาก แค่อ่านฮิรางานะได้ คิดว่า ที่นี่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลย เหมาะกับใครที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นใหม่ๆ อ่านไปละทำเอานึกถึงสมัยเด็กๆ ได้เลยล่ะ
บรรยากาศในอาคาร โซนหนังสือภาพ
มุมจัดแสดงหนังสือที่ได้รับรางวัลชนะเลิศของแต่ละปี
หนังสือภาษาไทย ก็มี
[5] งานเทศกาลหิมะของที่นี่ดูอบอุ่นไม่แพ้ใคร Candle Walkway
อีกไฮไลท์ของเมืองนี้ คืองาน Candle Walkway
แม้ว่าที่นี่อาจไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง โอตารุ ที่จัดงานในลักษณะเดียวกัน แต่ด้วยความร่วมแรง ร่วมใจ ของชาวเมืองทุกคน ในการช่วยกันเนรมิต candle walkway นี้ขึ้นมา คนละไม้ คนละมือ ทำเจ้าโคมน้ำแข็งขึ้นมาประดับที่หน้าบ้านตัวเอง บ้านใครบ้านมัน ก็ทำให้ค่ำคืนของกลางฤดูหนาวที่เยือกเย็นในเมืองนี้ มีสีสันขึ้นมาอย่างมากมาย
วิธีทำโคมน้ำแข็ง คือ เอาน้ำใส่ถัง แล้วทิ้งไว้หน้าบ้านหนึ่งคืน ด้วยความหนาวเย็น น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง แค่บริเวณขอบนอกที่ติดกับถังน้ำ พอเทน้ำที่ยังไม่แข็งออกมา และคว่ำลง ก็จะได้เป็นโคมที่ด้านในกลวง พร้อมให้เราประดับเทียนได้ ไอเดียเจ๋งมั้ยล่ะ
ที่นี่เค้าจะจัดเป็นทางเดินให้นักท่องเที่ยวได้เก็บภาพความสวยงาม ยาวจนไปถึงจุดสุดท้ายคือ พิพิธภัณฑ์หนังสือภาพ ซึ่งจะมีการจุดพลุไฟ กันนั่นเอง
โคมน้ำแข็งจากถังน้ำ จัดเรียงรายตามหน้าบ้าน แล้วแต่ใครจะครีเอทได้ตามใจ
[6] ตกปลาน้ำแข็งบนทะเลสาบ ซากุระโอกะ
หลังจากพักผ่อนกัน 1 คืน ที่โรงแรม Lakeside Sakuraoka เราก็พร้อมกับกิจกรรม ในเช้าวันใหม่ ในวันนี้กิจกรรมต่อไปคือ ตกปลาในน้ำแข็ง นั่นเอง โดยทะเลสาบนั้นอยู่ตรงหน้าโรงแรมพอดี หากเป็นช่วงฤดูอื่นๆ ก็จะได้เห็นสีเขียวของต้นไม้ หรือใบไม้เปลี่ยนสี จากโรงแรมได้เลย แต่เรามากันในฤดูหนาว ทำให้ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง
โดย บริเวณนี้คือ ทะเลสาบ ที่พอหน้าหนาว ผิวหน้าของทะเลสาบ จะกลายเป็นน้ำแข็ง หนาพอที่เราสามารถลงไปยื่นบนนั้นได้ ส่วนด้านใต้นั้น ยังเป็นน้ำ ที่มีปลาว่ายอยู่นั่นเอง
ขั้นตอนตั้งแต่เร่ิมเลยคือ หาทำเลเหมาะๆ แล้วก็กางเตนท์ คนญี่ปุ่นที่มาตกปลาที่นี่ เค้าแพลนมาตกปลากันทั้งวัน กางเตนท์กันหิมะกันลมให้ดี แล้วก็ต้องระวังเตนท์ปลิวด้วยนะจ๊ะ วันที่ไปนั้นมีลม จึงได้เห็นเต็นท์คนญี่ปุ่นปลิวไปต่อหน้าต่อตา ไม่รู้ตามไปเก็บกันยังไง
พอหาที่เหมาะๆได้แล้วก็เริ่มเลย เริ่มด้วยการ เจาะ เจาะน้ำแข็งกันเอาเองเลย โดยใช้เครื่องมือเหมือนสว่าน แต่ใช้มือหมุนเอาเองทั้งหมด จากนั้นก็ขุดน้ำแข็งขึ้นมา พอมีพื้นที่ให้หย่อนเบ็ด รอปลาตัวน้อยมากินเหยื่อ ซึ่งปลาที่เราตกนี่คือ ปลาวาคาซากิ ไซส์พอๆ กับปลารากกล้วยบ้านเรา พวกเราเจอครอบครัวชาวญี่ปุ่นครอบครัวใหญ่ จึงแวะไปพูดคุย พร้อมขอถ่ายภาพมา เราได้เห็นเด็กน้อยกำลังสนุกสนานกับการตกปลา ในรูของตัวเอง ที่เจาะไว้ส่วนตัว พอตกปลามาได้ปุ๊ปก็ชุบแป้ง ทำเทมปุระทอดกินกันตรงนั้นร้อนๆ น่าอิจฉาจริงๆ
การเจาะรู เพื่อตกปลา และเมื่อตกได้ก็จะทอดกินกันตรงนั้นเลย
รอสักพัก ก็จะได้ปลาตัวเล็กๆ ชื่อ ปลาวาคาซากิ
พอได้แล้วก็ลงหม้อ ทำ เทมปุระ เลยจ้า
[7] เทศกาลหิมะ Snow Festa จัดให้เล่นฟรีทั้งงาน
หลังจากสำรวจการตกปลาสักพัก ก็ใกล้เที่ยงแล้ว กลับมาตัวเมือง รองาน snow festa กันดีกว่า
เรากลับมาที่ตัวเมืองเคมบุจิ เพื่อร่วมงาน snow festa ของที่นี่ โดยเขาจัดเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง ภายในงานมีทั้งส่วนของเวที เกมบิงโก และอาหารมากมาย ลืมบอกไปว่าที่นี่เค้าดังเรื่องพืชผัก ผักกะหล่ำที่ปลูกในหน้าร้อน พอถึงหน้าหนาวหิมะตกลงมา เค้าก็จะปล่อยให้หิมะทับถมไปทั้งอย่างนั้น รอเวลามาเก็บเกี่ยวภายหลัง เพื่อที่จะมีผักกินไปตลอดปี
ผักที่อยู่ใต้หิมะนอกจากจะปลอดภัยจากแมลงศัตรูพืช นกทั้งหลายแล้ว ข้อดีอีกอย่างคือผักที่เก็บไว้ใต้หิมะนี้จะมีรสหวานมาก กินกันสดๆยังหวานติดใจเลย
ชาวเมืองออกมาร่วมงานกันครึกครื้น
กลับเข้ามาที่งานเทศกาล เราติดใจขนมฟักทองทอดของเค้ามาก ชิ้นละ 100 เยนเท่านั้น หวานจริงๆ หน้าตาเหมือนขนมบ้าบิ่นบ้านเรา เหนียวๆ ร้อนๆ ยังมีอุด้งกินร้อนๆ ตอนหนาวๆ ก็ช่วยคลายหนาวได้เป็นอย่างดี
หน้าตาขนมแป้งทอด คล้ายขนมบ้าบิ่น
ในส่วนของกิจกรรม เรียกว่า เมืองนี้มีอะไรทำได้ เค้าขนออกมาหมด ไม่ว่าจะเป็นรถม้าลาก ให้นั่งฟรี รถเครนที่เอามาวางหลังเวที ให้คนขึ้นไปถ่ายรูปวิวเมืองมุมสูงได้ ยังมีสไลเดอร์หิมะ และบานาน่าโบ้ทหิมะ ให้เด็กๆได้เล่นสนุกกัน ฯลฯ ที่สำคัญคือ ฟรี
[8] ร้านอาหาร Ajino yoshitake
เราฝากท้องก่อนลาจากเมือง เคมบุจิ ไว้ที่นี่ ร้านอาหารญี่ปุ่น อาจิโนะ โยชิทาเกะ ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีทั้งซูชิ ราเมง ข้าวหน้าต่างๆ แม้แต่แกงกะหรี่ ก็มีมาให้เลือกทานได้อย่างมากมาย บรรยากาศร้านที่มีทั้งแบบเคาท์เตอร์บาร์ และแบบห้องส่วนตัว
มื้อนี้ ของพวกเรา มีอาหารชุดพิเศษ นั่นคือ สุกี้ยากี้ หม้อใหญ่ เทมปุระและซูชิให้ทานกัน สุกี้ยากี้น้ำซุปเข้มข้น หอมหวาน ซูชิก็สดใหม่ อร่อยมาก เมนูนี้ หากมากันเป็นหมู่คณะ สามารถสั่งล่วงหน้าได้จ้า
หน้าร้าน มีรูปกุ้งตัวโตๆ
เซ็ตสุกี้ยากี้ จัดเต็ม
สุกี้ยากี้ ที่ญี่ปุ่น จะทานกับไข่ดิบ หลังจากเนื้อ หรือผักสุกแล้ว จะนำมาชุบไข่ดิบก่อนทาน
ซูชิสดใหม่ของร้าน
[9] แวะซื้อของฝากก่อนกลับ ที่จุดพักรถ Ehon no Sato Kembuchi
การมาเที่ยวในแต่ละเมือง จะขาดไม่ได้เลยกับการ ซื้อของฝากก่อนกลับ ที่นี่มีจุดพักรถ ที่มีของฝากเด่นๆ ของเมืองวางขายรวมอยู่ สามารถหาซื้อที่นี่ได้ทั้งหมด เช่น ผักสดต่างๆ, ขนมของฝาก, ขนมปังอบใหม่ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีมุมซื้ออาหารสดกลับ มุมนั่งเล่นพักผ่อน และห้องน้ำให้ใช้บริการได้อีกด้วย
ภายในกว้างขวาง รวมเอาของดีของเมืองเคมบูจิเอาไว้
ที่ขาดไม่ได้ก็มุมหนังสือภาพ และอ่างไข่ไม้ ให้เด็กๆ เข้าไปเล่นซนได้
ส่งท้าย
เมืองเคมบุจินี้ อาจยังไม่เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวมากนัก ด้วยความที่ห่างจากเมือง Asahikawa เพียงแค่ 1 ชั่วโมง ไปทางเหนือ สามารถเดินทางไปกลับได้ในวันเดียว หรือแวะค้างคืนสักหนึ่งคืนก็ได้ จะเช่ารถขับชิวๆ มาที่นี่ หรือนั่งรถไฟดูวิวตามทางมาเรื่อยๆ ก็ย่อมได้ หากใครชอบการท่องเที่ยวแบบไม่เหมือนใคร อยากหามุมมองใหม่ ๆ ที่ไกด์บุ๊คยังไม่ค่อยเขียนถึง ไปชิลๆ ใช้ชีวิตแบบชาวฮอกไกโด สไลว์ไลฟ์ เดินเล่นชิล พบปะผู้คนน่ารัก เป็นมิตร ดูวิวสุดลูกหูลูกตา ไม่เร่งรีบ เมืองเคมบุจินี้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับทริปหน้าของเพื่อนๆ ก็เป็นได้
ข้อมูลสำคัญแต่ละสถานที่
เมือง KEMBUCHI, Hokkaido
(แผนที่เมือง เคมบูจิ จาก Google map)
ร้านอาหาร Ekimae Ryokan
Lakeside Sakuraoka Hotel
Viva Alpaca Farm
ห้องสมุดภาพ Ehon no Yakata
ร้านอาหาร Ajino yoshitake
จุดพักรถ Ehon no Sato Kenbuchi
———————————————
Discover Cool Things!
Trippino HOKKAIDO
LATEST
Dec. 03 2024