COLUMN
Jul. 06 2015
ฮอกไกโด เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีสัตว์ป่าต่างๆ อยู่ตามเขา ตามแนวชายฝั่งทั่วไป เมื่อมาเที่ยวฮอกไกโด แน่นอนว่า เดินตามร้านของฝาก ต้องได้เห็นของฝากเกี่ยวกับหมีตัวสีน้ำตาล วางอยู่ คิดว่าต้องมีคนสงสัยกันแน่ ว่าหมีพวกนี้คืออะไร มีความสำคัญยังไงกับฮอกไกโด ใช่ไหม
หมีสีน้ำตาล หรือเรียกว่า ฮิกุมะ (ヒグマ) เป็นสัตว์สายพันธ์ใหญ่ ระดับสูงสุดในห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศ ปัจจุบันก็ยังมีอยู่จริงๆ ในป่าของญี่ปุ่น และมีมากในฮอกไกโด ว่ากันว่ามีประมาณ 2,000 กว่าตัวเลย เจ้าหมีนี่ยังเป็นสัตว์ที่ชาวไอนุ ชนพื้นเมืองของฮอกไกโด นับถือเป็นหนึ่งใน พระเจ้า (God) โดยชาวไอนุให้ความสำคัญกับหมีสีน้ำตาลมาก ถึงขนาดมีการจัดพิธีส่งวิญญาณให้มันเมื่อถูกฆ่าอีกด้วย
เรายังอยู่กันที่บริเวณโนโบริเบทสึ เมืองแห่งออนเซ็น (อ่านตอนที่ผ่านมา คลิกเลย) ที่นอกจากออนเซ็นแล้วยังมี “ฟาร์มหมี” อยู่ใกล้ๆ กัน ฟาร์มหมีมีชื่อเต็มๆ ว่า “โนโบริเบทสึ คุมะโบคุโจ” (登別クマ牧場) เมื่อเดินตามถนนสายหลัก ด้านหน้าโรงแรมไดอิจิ ทาคิโมโตะคัง ย้อนกลับไปทางถนนสายหลัก จะเจอกับป้ายทางขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไป “ฟาร์มหมี” อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกก็ดูจากรูปพี่หมีของเราเลย แต่ยังไม่ถึงนะ จากป้ายต้องเดินขึ้นบันไดไปหน่อย (เล่นเอาหอบเหมือนกัน) ถึงจะเจอกับจุดจำหน่ายตั๋วกระเช้าไฟฟ้า
(ทางไปกระเช้าไฟฟ้า)
ฟาร์มหมีโนโบริเบทสึ มีหมีกว่า 100 ตัว ถือเป็นที่แรกๆ ในการสร้างฟาร์มเพื่อศึกษาพฤติกรรมของมัน ฟาร์มตั้งอยู่บนยอดเขาสูง (มากกก) วิธีการไปถึงก็คือต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้า หรือ Ropeway ขึ้นไปเท่านั้น ค่าเข้าชมรวมตั๋วไปกลับอยู่ที่ 2,592 เยน ใช้เวลาเดินทาง 7 นาที
(หน้าตาตั๋ว และเอกสารแผ่นพับภาษาไทย)
(วิวระหว่างทางขึ้น)
เมื่อขึ้นมาจนสุด ส่ิงแรกที่เราสะดุดตาเลยก็คือ กรงลูกหมีสีน้ำตาลตัวน้อย ที่วิ่งไปมาอย่างซุกซน เหมือนใส่ถ่านอัลคาไลน์อย่างดีไว้ คือ วิ่งไม่ยอมหยุดจริงๆ ตอนหลังเราโชคดี ได้ร่วมสนุก และสามารถเข้าไปถ่ายรูปภายในกรงกับน้องหมีน้อยได้ ทำให้ได้เห็นความน่ารักของมันอย่างโคสอัพ จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ ลูกหมีในภาพมีอายุประมาณ 4 เดือนเท่านั้นเอง โตไวมาก
(ลูกหมีน้อยแสนซนน่าฟัด)
โชคดีได้เข้ากรงกับน้องหมีน้อย (ถ่ายได้อย่างเดียว ห้ามจับ)
นิ่งสนิท
วิธีการจับหมีของเจ้าหน้าที่
อ่านมาถึงตรงนี้ คงคิดว่าเจ้าหมีสีน้ำตาลนี่มันน่ารัก มุ้งมิ้งใช่ไหมล่ะ? โนววววว
รู้ไหมว่าเจ้าหมีสีน้ำตาลนี่แหละ ที่คนญี่ปุ่นใครๆ ต่างไม่อยากจะพบเจอตัวเป็นๆ ของมันเวลาเข้าป่า ตัวโตเต็มที่ของตัวผู้นั้น มีน้ำหนักประมาณ 400 กว่ากิโล เมื่อคลาน 4 ขา จะสูงประมาณ 150cm แต่ถ้ายืน 2 ขาละก็ สูงได้ถึง 2 เมตรเลยนะ คือเลยหัวเราๆ แน่ ประกอบกับเล็บที่ยาวแหลม ที่สำคัญพี่หมีของเรา “วิ่งได้” “ปีนต้นไม้ได้” และ “ฉลาด” อีกด้วย ลองคิดดูว่าถ้าได้เจอจังๆ ในป่าใครจะรอด? รับรองว่าโดนตบทีเดียวปลิว เป็นแผลเหวอะแน่
เล่าให้ฟังซักนิดว่า มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นชื่อ Sankebetsu Bear Attack (1915) เป็นเหตุการณ์ที่เจ้าหมีสีน้ำตาล ตื่นจากการจำศีล แน่นอนว่าต้องหิวโซเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตลอดฤดูหนาว ได้ออกมาล่าชาวบ้าน โจมตีทำร้าย และกินเหยื่อ ช่วงฤดูหนาว 9-14 ธ.ค. ปี ค.ศ. 1915 ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 7 คน หลังจากล่าหมีตัวการได้ พบว่ามีน้ำหนักกว่า 340 กิโลกรัม และมีซากผู้เสียชีวิตอยู่ในท้องของมันด้วย บรือออ
“ผมสายโหด นะครับ แฮ่”
กลับมาที่ฟาร์มหมีกัน หลังจากเห็นความน่ารักของหมีน้อยน้ำตาลแล้ว ก็มาเจอกับของตัวจริงได้ ที่นี่แบ่งส่วนของหมีเป็นตัวผู้ และตัวเมียแยกกัน กรงใกล้สุดคือพี่หมีตัวเมีย กรงนี้มีหมีหลายหลาย พวกมันคุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอย่างดี จะคอยโบกไม้โบกมือ ทำท่าตลกๆ ให้เราเห็น เช่น โบกมือเรียกแขก, ท่าไหว้ขอขนม หรือปีนเสามาใกล้ๆ ยิ่งตอนคนเยอะๆ แล้วโยนขนมลงไปให้มันนะ ดูน่ารักมาก ประมาณว่า “ทางนี้พี่ ทางนี้ โยนมาทางนี้เล้ย”
ท่าโพสรอขนม ตัวนี้ชอบไหว้
“ทางนี้เลยเพ่”
ตัวนี้เก่ง ปีนเสาเหล็กมาใกล้มาก (อย่าโดดมาล่ะ)
ในส่วนกรงหมีตัวเมีย นี้มีการโชว์ทักษะเป็นรอบๆ โดยเจ้าหน้าที่ของฟาร์ม สิ่งที่โชว์ก็ เช่น การเอาอาหารใส่กรงไว้ เพื่อให้หมีเปิดเอง เป็นต้น (เจ้าหน้าที่ไม่เข้าไปกรงหมีหรอกนะ ไม่ต้องเป็นห่วง)
ต่อจากกรงตัวเมียก็ต้อง กรงตัวผู้ ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ทีนี้ล่ะ ของจริง ตัวจริง ไฮไลท์อยู่ที่ “กรงมนุษย์” คือทางฟาร์มได้ออกแบบห้องเล็กๆ ให้เราเดินไปโผล่กลางบ่อหมีเลย มีแค่กระจกใสๆ กั้นเท่านั้น พวกเราเข้าไป และตกใจมาก เพราะว่าแต่หัวหมีก็ใหญ่ประมาณช่วงไหล่ของเราแล้ว ไม่นับเสียงลมหายใจของมัน บวกกับเรื่องราวความโหด ดูใกล้ๆ ขนลุกเลย เข้าใจเลยว่า พอเจอจริงๆ แล้วไม่รอดแน่ ไม่ต้องแกล้งตายหรอก กรี๊ดลั่นก่อนแน่นอน
แค่กระจกใสบางๆ
บริเวณกรงมนุษย์นี้ สามารถให้อาหารได้เหมือนกัน โดยพี่หมีจะรอที่ท่อเลย วิธีคือ ใส่อาหารแล้วดันไปจนสุด อาหารเม็ดกลมก็จะถูกดันออกไปทางฝั่งหมี นอกจากนี้ ยังมีจุดให้ขนมจากด้านบนด้วย เพื่อให้หมียืน 2 ขา ให้เราได้เห็นว่ามันตัวใหญ่แค่ไหน
พี่หมีบิ๊กเบิ้ม รอกินหนม
บริเวณด้านนอกของกรงหมีตัวผู้ จะไม่ค่อยมีหมีมาทำท่าทางตลกๆ ให้ดูมากนัก ก็เป็นหมีตัวผู้ไง พี่เค้าออกแนวนิ่งๆ ชิลๆ วันที่พวกเราไป มีตัวหนึ่ง ไม่ยอมขยับไปไหนเลย นอนรอให้เอาขนมโยนให้อย่างเดียว ขี้เกียจนั่ง เลยนอนและยกอุ้งเข้าขอขนมแทน
“โยนตรงๆ หน่อยดิพี่”
ที่ฟาร์มหมีนี้ นอกจากจะมีเหล่าหมีๆ โพสท่า ให้ชมแล้ว ยังมีอย่างอื่นให้ดูกัน เช่น โซนเป็ดวิ่งแข่ง, กรงกระรอก, มีร้านอาหาร, พิพิธภัณฑ์หมีสีน้ำตาล, จุดชมวิวทะเลสาบคุตตะระ (Lake Kuttara) และการจัดแสดงหมู่บ้านชาวไอนุอีกด้วย เอาเป็นว่าแวะมาโนโบริเบทสึแล้วนอกจากออนเซ็นแสนสบาย ก็อย่าลืมขึ้นมาดูฟาร์มหมีกันนะจ๊ะ
ลานแข่งเป็ดวิ่ง ที่เด็กๆ ตื่นเต้นกัน
จุดชมวิวทะเลสาบคุตตะระ
Discover Cool Things ! … Trippino Hokkaido
————————————————————————————
・การเดินทาง จาก JR Noboribetsu sta.
→ขึ้นบัสไปลงที่ ป้าย Noboribetsu-Onsen Bus Terminal จากนั้นเดินต่ออีก 5 นาที
Tip1 : ฟาร์มหมี ค่อนข้างมีกลิ่นสาบแรง ใครไม่คุ้น อย่าลืมพกยาดมยาหอมไปด้วย
Tip2 : บริเวณกรงมนุษย์ด้านใน มีตู้ขายขนมสำหรับหมี แบบอัตโนมัติ ลืมซื้อเข้าไป ก็ซื้อจากด้านในได้เลย
Tip3 : ฟาร์มหมี ค่าเข้าชม 2,592 เยน ใช้เวลาเดินทางจากสถานี Ropeway ไปอีก 7 นาที
Tip4 : ระวังและดูแลทรัพย์สินส่วนตัวให้ดี อย่าให้ตกลงไปในกรงหมี เพราะคิดว่าคงได้กลับมายาก
ข้อมูลที่จำเป็น
ฟาร์มหมีโนโบริเบทสี (Noboribetsu Bear Park)
ที่อยู่ : 224 Noboribetsu-Onsen, Noboribetsu, Hokkaido, GPS :42.492890, 141.144540
Tel. +81-143-84-2225, Time : 8:00-17:00 (ฤดูหนาวเปิดเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง)
NEXT RECOMMEND
May. 172019
May. 132022
คอลัมน์ท่องเที่ยวฮอกไกโด
LATEST
Dec. 13 2024