COLUMN

Sep. 27 2018

Road Trip : ซัมเมอร์ไม่ซ้ำใคร ในฮอกไกโดตะวันออก (2/2)

เอาล่ะ ต่อกันกับทริป Road Trip ปลายหน้าร้อนของฮอกไกโดทางฝั่งตะวันออกกันครับ ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก ว่าเราไปที่ไหนกันมาบ้าง กดที่นี่ เพื่อย้อนความไปอ่านกันก่อนนะ

หรือขี้เกียจอ่านก็คือ เราบินตรงจากดอนเมืองมาลงซัปโปโร ด้วย Thai AirAsia X แล้วขับรถต่อกันมาที่เขตโทคาจิ แวะแช่ออนเซ็น พายเรือแคนูที่ทะเลสาบคุชชาโระ และเข้านอนกำลังรอตื่นตอนตีสี่เพื่อขึ้นชมทะเลหมอกที่สวยงามกันครับ

.

ทะเลหมอกที่คาดฝันไว้ กับการตื่นตีสี่ จะเห็นไหม?

ไกด์ที่โรงแรมนัดล้อหมุนตอน 4:30 พระเจ้าช่วย มันเช้ามากๆๆ แต่ก็ทันรถ ไปนั่งพร้อมกับลูกทัวร์ชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆ ครับ ทัวร์นี้สามารถติดต่อได้โดยตรงกับที่โรงแรม Prince Hotel Kussharo ได้เลย จากโรงแรมรถบัสน้อยๆ ก็พาขึ้นเขาไปยังจุดชมวิว ที่ชื่อว่า Tsubetsu แต่ด้วยความอากาศดี หรือความชื้นน้อยไป หรือดวงไม่ดีอะไรก็ตาม ทำให้เราได้เห็นแบบนี้…..

 

วันนี้ไม่มีทะเลหมอกให้ชมครับ เสียใจนิดหน่อย แต่ว่าธรรมชาติก็คือธรรมชาติ เราไม่สามารถกำหนดอะไรได้ เพราะธรรมชาติอยู่เหนือการควบคุม ดังนั้นเปลี่ยนมาเป็นสูดอากาศบริสุทธิ์ พร้อมจิบกาแฟยามเช้า (มีเตรียมให้) ดีกว่า มองทะเลสาบชัดๆ กับแสงสีส้มระเรื่อที่อยู่ตรงขอบฟ้าไกลฝั่งตรงข้ามก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกันนะครับ

กลับจากทริป ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้เวลามาทานอาหารเช้ากัน ที่ห้องอาหารเดิม โดยตอนเช้า บรรยากาศของห้องอาหารดูเปลี่ยนไปอย่างมาก ดูเป็นมิตรนุ่มนวลและโปร่งสบายที่สุด

 


 

แวะ Sunayu, Mt. Io-zan ระหว่างทาง

ก่อนที่จะกลับไปยังเมืองโอบิฮิโระ (เมืองใหญ่ในเขตโทคาจิ) เราได้แวะจุดพักริมทาง 2 แห่งคือ Sunayu ที่บริเวณชายหาด ถ้าเอามือขุดลงไปจะเจอน้ำอุ่นจากธรรมชาติ ได้ฟังตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่เห็นเด็กๆ ชาวญี่ปุ่นขุดกันใหญ่ แล้วก็มีน้ำร้อนออกมาจริงๆ ซึ่งแอ่งน้ำด้านหน้าเป็นทะเลสาบคุชชาโระที่เรามองลงมาจากจุดชมวิวตอนเช้านั่นเองครับ

เด็กๆ ชาวญี่ปุ่นกำลังขุดทำบ่อน้ำแร่แช่เท้าส่วนตัว

ระหว่างทางเราจะเห็นกลุ่มควัน ที่เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า Mt. Io-zan จะมีธารที่สีซัลเฟอร์ สีเหลืองๆ เต็มไปหมด และสายน้ำนี้ไหลไปยังหมู่บ้านออนเซ็นไกล้ ที่ชื่อคาวายุออนเซ็นด้วย ซึ่งออนเซ็นของที่นี่นั้นค่อนข้างแรงต่อผิว ใครที่ผิวบอบบางรับรองว่าเข้าแล้วจะแสบตัวเพราะโดนซัลเฟอร์กัดแน่นอน หรือใส่แหวน ใส่โลหะ ก็จะเกิดปฎิกิริยาสีเปลี่ยนด้วยนะ

สีเหลืองจากซัลเฟอร์ และควันที่พวยพุ่งตลอดเวลา 


 

วิวสุดลูกหูลูกตากับ Naitai Kogen Farm

ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นขนาด 1,700ha ที่รัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลเอง และผลิตภัณฑ์จากนมของที่นี่ ก็กลายมาเป็นซอฟท์ครีมแสนอร่อย ที่ทุกคนต้องซื้อทานเมื่อมาถึงครับ ด้วยความที่กว้างมากๆ เราสามารถมองเห็นวิวแบบ 360 องศาได้เลยนะ รอบๆ ไม่มีตึกสูง หรืออาคารแปลกๆ มาขวางกั้น ขับรถมาเหนื่อยๆ มาแวะหายใจ สูดอากาศของฮอกไกโดให้เต็มปอดก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกันครับ

สิ่งที่ต้องกิน รสนมข้นๆ จากวัวที่เลี้ยงที่นี่ อ่าาห์

ทางไปยังจุดชมวิว มีน้องวัวนอนพักเป็นระยะๆ


 

เก็บผัก ไขความลับความอร่อยของผักที่นี่ พร้อมปิกนิกกันกลางทุ่ง กับทีม Itadakimasu

ทำไมผักฮอกไกโดถึงอร่อย ปกติแล้วผมไม่ชอบกินผักเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่ได้มาญี่ปุ่นบ่อยๆ ได้อยู่ที่ฮอกไกโด ไปตามที่ต่างๆ มา ขอบอกเลยว่าผักนั้นอร่อยมาก ไม่แพ้เนื้อสัตว์เลย ยิ่งพอได้ร่วมทัวร์กับ Itadakimasu แล้วก็ได้รู้ลึกไปอีกว่า กว่าพืชผักจะเติบโตได้เนี่ยต้องใช้ความอดทนอย่างมากเช่นกัน 

ประเทศญี่ปุ่นไม่เหมือนบ้านเรา คือมีฤดูที่แตกต่าง อย่างสิ้นเชิง 4 ฤดู คือ ผลิ ร้อน ร่วง และหนาว ซึ่งฮอกไกโดนั้นก็มีฤดูที่เห็นได้อย่างแตกต่างเช่นกัน โดยเฉพาะเขตโทคาจินั้น มีความแตกต่างในฤดูอย่างมาก คือ ฤดูร้อนก็ร้อนมาก และหนาวก็หนาวกว่า -20  พืชผักที่ปลูกที่นี่จะเก็บเกี่ยวได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากพลาดโอกาส ก็ต้องรอปีถัดไป ให้อากาศเป็นใจ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีการใช้น้ำพ่นรดสาดเข้าไปแปลงผัก แต่จะรอคอยเพียงแค่น้ำฝนเพื่อการเติบโตเท่านั้น และด้วยความทรหดของธรรมชาติ เช่นกลางวันร้อนมาก กลางคืนหนาวมาก ทำให้ผักต้องปรับตัว รีบโต ออกผล หรือกักเก็บพลังงาน กักเก็บน้ำตาลเพื่อให้ตัวเองไม่ตาย และนี่คือเหตุผลที่ทำไมผักที่นี่ได้หวานกรอบอร่อยแบบนี้ ยิ่งได้ฟังไกด์พูด เรายิ่งรู้คุณค่าของพืชผักที่ปลูกที่นี่มากยิ่งขึ้นครับ

นี่คือต้นหน่อไม้ฝรั่ง แบบสีแดง เอาซี๊ ไม่เคยเห็นไง ตะลึง

ไกด์อธิบายเราด้วยภาพการ์ตูนง่ายๆ อธิบายการปลูกพืชต่างๆ หมุนเวียนไปแต่ละแปลง แต่ละปี แต่ละฤดูที่จะไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สารอาหารได้หมุนเวียนกันนั่นเอง ซึ่งไกด์มาบอกตอนหลังว่านี่คือเอกสารที่เด็กประถมญี่ปุ่นทุกคนเรียนแล้วนะจ๊ะ แต่พวกเราโตป่านนี้แล้วยังพึ่งรู้เลย  เราได้เดินชมแปลงต่างๆ เช่น แปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่ง, ข้าวโพด, ถั่วแดง ฯลฯ พร้อมการเล่าเรื่องแสนน่ารักของไกด์ และพ้อยของวันนี้คือ การขุดมันฝรั่ง ครับ  

ในแปลงที่ว่างเปล่า ใครจะรู้ว่าใต้ดินนั้นมีมันฝรั่งอร่อยๆ อยู่เต็มไปหมด ไกด์ชี้บอกให้ลองขุดๆ ดู แล้วก็เจอหัวมันฝรั่งจริงๆ ด้วย ได้มาเต็มตะกร้า หลังจากเก็บได้พอดีแล้ว ก็นำมันฝรั่งที่ได้นี่แหละ ไปทอดเป็นเฟรนซ์ฟรายส์ให้ทานกันในซุ้มปิกนิก  จริงๆ แล้วคือไม่ได้ทานแต่มันฝรั่งทอดหรอกนะ เขาเตรียมเพลทฟองดูว์มาให้เราแบบจัดเต็มมากๆ และเติมได้เรื่อยๆ กับผัก ขนมปัง แฮม ฯลฯ ได้กินกลางทุ่ง พร้อมของที่ขุดมาเองแบบนี้กลางฮอกไกโด โทคาจิที่เป็นแหล่งสุดยอดของผักอร่อยแบบนี้ เรียกว่าลืมไม่ลงเลยครับ 

มันฝรั่งที่เก็บได้ นำมาทอดเป็นเฟรนซ์ฟรายส์เหลืองกรอบหอมมาก

แบบนี้ฟินมาก ทานกับชีสที่ละลายตรงกลาง ชอบอะไรก็เอาไปจิ้มชีสได้


 

เข้าพักคืนสุดท้ายที่ Hotel Nupka โรงแรมโฮสเทลแนวคาเฟ่ พร้อมทัวร์เมืองกับคนท้องถิ่น

หลังจากเรียนรู้ความอัศจรรย์ของธรรมชาติแล้ว ก็ขับรถเข้าเมืองประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สู่งเมืองโอบิฮิโระ เมืองหลักของที่นี่ และเช็คอินโรงแรม Nupka ที่เป็นโรงแรมที่สไตล์ริชเอามากๆ รับรองว่าวัยรุ่น วัยสร้างสรรค์ ต้องชอบแน่ๆ ด้านล่างเป็นคาเฟ่ มีคราฟท์เบียร์ออริจินัลของเฉพาะโรงแรมนี้ มีกาแฟที่ทำกันเอง และการจัดวางต่างๆ ที่อะไรๆ ก็ดูน่ารักไปหมด นอกจากคนมาพักแล้ว คนญี่ปุ่นที่เดินผ่านไปมาก็แวะเข้ามานั่งดื่มเบาๆ ได้เหมือนกันนะครับ 

 

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ที่เมืองนี้มีบริการพาทัวร์เดินชมย่านเก่าๆ โดยคนท้องถิ่น พร้อมไกด์ภาษาอังกฤษให้เราด้วย จะรออะไร ตามคุณลุงไปเลย คุณลุงได้พาเดินลัดเลาะไปตามที่ต่างๆ อธิบายให้เราได้เห็นภาพว่า ร้านไหนเปิดมากี่ปีแล้ว บ้างก็ 60 ปี บ้างก็ เกินกว่านั้น บางจุดก็หมดความนิยมไปตามยุคสมัย บางจุดก็พยายามดัดแปลงให้ดูเหมือนยุคเก่า เรียกว่า ได้เรียนรู้ร้านค้าต่างๆ ในแบบลึกจริงๆ โดยคุณลุงญี่ปุ่นอาสาสมัครท่านนี้ก็มีร้านเป็นของตนเองเช่นกัน เลยอยากแนะนำให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักย่านกลางคืนของ โอบิฮิโระ ในแบบดีฟๆ ลึกๆ 

 

คุณลุงไกด์จะถือธงและแนะนำร้านต่างๆ รอบๆ เมือง


 

วันสุดท้าย กับการแวะชมม้ายักษ์ ที่ Banei และทานขนมร้านดัง 

ที่เมืองโอบิฮิโระมีสนามแข่งม้าชื่อดัง ที่มีที่เดียวในโลกด้วยครับ เป็นม้าพันธุ์ที่ตัวใหญ่มากกกก หนักกว่า 1 ตันเลยทีเดียว โดยวันที่เราไป ไม่มีการแข่งขัน แต่สามารถเข้าเที่ยวเล่นในโซนขี่ม้า, ให้อาหารม้าได้ด้วย ที่นี่ยังมีร้านอาหารต่างๆ เป็นศูนย์รวมร้านอร่อยของโอบิฮิโระด้วยเช่นกัน เราจึงจัดการสั่งข้าวหน้าหมูย่าง อันเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาติเนื้อมันนุ่ม พร้อมซอสหวานพอดี และขิงดองให้ทานแก้เลี่ยน 

ได้ลองขี่ม้าด้วยนะ 

 

กินคาว ไม่กินหวานก็ไม่ได้ ปิดทริป Road Trip นี้กับเมืองโอบิฮิโระ เขตโทคาจิกันที่ร้านขนมชื่อดังของที่นี่  TOKACHI TOTEPPO FACTORY คอชีส ชีสเค้ก ช็อทเค้ก มีให้เลือกทานไม่อั้น จริงๆ จะหนักไปทางชีสเค้กมากกว่า จัดเซ็ตกับกาแฟดำ อร่อย ฟิน เบา ก่อนขับรถกลับซัปโปโรเพื่อเตรียมตัวกลับเมืองไทยในเช้าวันถัดไปครับ 

 


จบแล้ว สำหรับ Road Trip ปลายฤดูร้อนแบบนี้ กับเมืองที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อนัก คนน้อยๆ อาหารอร่อย และธรรมชาติที่สมบูรณ์สุดๆ  ทำให้รู้ว่าโลกของฮอกไกโดนั้นกว้างเพียงใด ไม่ได้มีแค่เพียงเมืองหลักอย่างซัปโปโร หรือโอตารุ ลองขยับมุมมอง  เลื่อนแผนที่ฮอกไกโดของเพื่อนๆ มาทางตะวันออกของฮอกไกโดสักนิด หรือขยับเลื่อนลงจากเมืองฟุราโนะ อีกหน่อย ก็จะรู้ว่า ที่เขตโทคาจิ นั้นไม่ธรรมดาเลย

.

.

ข้อมูลสถานที่ต่างๆ

① จุดชมวิว Tsubetsu Pass
web : http://www.tsubetsu.net/index.html

 

② Sunayu
web : http://sunayu.teshikaga.asia/english/

 

③ Mt.Io-zan
mapcode : 731 713 770*66
tel : 015-483-3511

 

④ Naitai Kogen Farm
เวลาเปิด : 10.00 – 17.00 น.

ฤดูที่เปิด : ปลายเมษา-ปลายตุลา 
web : https://kamishihoro.info/sg_detail.php?id=13

 

⑤ Itadakimasu Company (Tour)
ราคาทัวร์ 6,800yen / คน รวมอาหารปิกนิก (สิ่งที่ได้เก็บจะแตกต่างกันในแต่ละฤดู)
web : http://h-takarajima.com/detail/index/4308&ml_lang=en

 

⑥ Hotel Nupka
web : https://www.nupka.jp/en/official-hotel-nupka/

 

⑦ Banei Tokachi
web : http://banei-keiba.or.jp/language/index_en.php

 

⑧ Tokachi Toteppo Factory
เวลาเปิด : 10.00 – 18.00 น.

web : http://www.toteppo-factory.com/

 

.

.

Discover Cool Things! 

Trippino HOKKAIDO

LATEST

Dec. 13 2024

Day Trip เที่ยว 1 วัน : Asahikawa – Biei 2025